วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

นกเขาชวา นกสันติภาพชายแดนใต้

 


"ชายแดนใต้ความหลากหลายที่ล้ำค่า"  เป็นคำกล่าวที่แสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างของผู้คนในพื้นที่   ที่มีทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลาม คนไทยเชื้อสายจีน และคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ จึงเป็นที่มาของความหลากหลายทางวัฒนธรรม  ที่ผ่านมาผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเป็นอยู่ที่สงบเรียบง่าย พึ่งพาอาศัยกันฉันญาติมิตร  บนพื้นฐานแห่งความพอเพียงมาช้านาน ประกอบกับความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์  ชายแดนใต้จึงเป็นเสมือนอัญมณี ที่รอการเจียระไนให้แววแสง แต่นับจากสถานการณ์ความไม่สงบที่ก่อตัวและขยายความรุนแรง รวมทั้งผู้ก่อความไม่สงบ ฉวยใช้ความแตกต่างทางอัตลักษณ์ของคนมลายู ความเชื่อทางศาสนา และประวัติศาสตร์ในอดีต เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยก ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดระแวงระหว่างผู้คนต่างศาสนิก ส่งผลให้ความสงบสุขที่เคยมีในอดีต กำลังจะลดเลือนหายไป

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนจุดเชื่อมประสานคนของผู้คนในสังคมชายแดนใต้และเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต นั่นก็คือ “นกเขาชวาเสียง” เหตุที่ชื่อนกเขาชวา กล่าวกันว่าในสมัยหนึ่งชาวชวาให้ความสำคัญแก่นกเขาชนิดนี้มาก ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาลลาภยศ และโชคลาภ จึงพากันจับนกเขาชนิดนี้มาเลี้ยงกัน และนี่เองที่เป็นสาเหตุให้นกเขาเล็กชนิดนี้เรียกกันว่า “นกเขาชวา” ในอดีตจะนิยมเลี้ยง และเล่นกันในราชสำนัก ข้าราชบริพาร ขุนนาง คหบดี และประชาชนที่สูงอายุ มักจัดงานแข่งขันในงานนักขัตฤกษ์ และงานชมรมสมาคมเกี่ยวกับนกเขาชวา ไม่มีหลักฐานปรากฏยืนยันได้ว่าการจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด ซึ่งคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมเลี้ยงไว้ประดับบ้านเช่นกันถือเป็นมงคล  โดยเลือกนกเขาที่เข้าลักษณะตามตำรา และมีเสียงดีตามลักษณะนิยม  ซึ่งเมื่อมีการจัดการแข่งขันครั้งใด ก็จะเห็นคนเหล่านี้นำนกเข้าร่วมแข่งขันกันอย่างคับคั่ง และถือโอกาสพบปะพูดคุยกันในกลุ่ม “ชวาวงค์” อย่างสนิทสนม ไม่เฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่ความรู้สึกเช่นนี้ ยังได้แพร่ขยายไปยังคนไทยในภูมิภาคอื่น และประเทศเพื่อนบ้าน เช่นมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน ทั้งนี้เป็นเพราะคนเหล่านี้ต่างมีความสนใจในสิ่งเดียวกัน   และเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้เลี้ยงนกเขาว่า การแข่งขันนกเขาชวาเสียงที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่สนใจของผู้นิยมเลี้ยงนกมากที่สุด คือ การแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี 

จากความริเริ่มของ เทศบาลเมืองยะลาที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้ร่วมกับจังหวัดยะลา ชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงจังหวัดยะลา และชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงภาคใต้ โดยการสนับสนุนของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค ๔ ได้ร่วมกันพัฒนาสนามแข่งขัน และกติกาการแข่งขันให้มีมาตรฐานเพิ่มขึ้น ตลอดจนความคิดที่จะพัฒนาเสริมสร้างประโยชน์ให้กับท้องถิ่นในด้านเศรษฐกิจจึงได้กำหนดให้มีการแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงชนะเลิศในระดับอาเซียน ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2529 ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยการใช้ชื่อในการจัดการแข่งขันว่า "งานแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงแชมป์กลุ่มประเทศอาเซียนครั้งที่ 1" สาเหตุที่ใช้คำว่า "อาเซียน" เพราะมีประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเข้าร่วมแข่งขันด้วย คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน ซึ่งประเทศดังกล่าวนี้มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ได้มีการแลกเปลี่ยน สนับสนุนเกื้อกูลกันในเรื่องต่าง ๆ มาตลอด ที่สำคัญคือ มีความชื่นชอบ และนิยมเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเหมือนกัน จึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ทางสังคม คือ สังคมนกเขาชวาเสียง หรือ “กลุ่มชวาวงค์” นั่นเอง


ในปัจจุบัน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลาบางส่วน ได้มีการแข่งขันในกลุ่มเล็ก ๆ อยู่เป็นประจำ และ ในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปีจะมีการจัดการแข่งขันใหญ่ในระดับประเทศและนานาชาติ ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งการแข่งขันประชันเสียงนกเขาชวาแต่ละครั้ง จะมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้ที่เป็นเจ้าของนก ผู้ชมและผู้ที่สนใจจะเสาะหาพันธุ์นกไว้เป็นเจ้าของ   ก่อให้เกิดผลต่อเนื่องในเชิงเศรษฐกิจ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้า และการประกอบอาชีพที่ต่อเนื่องจากการเพาะเลี้ยงพัฒนาสายพันธุ์นก คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนเงินไม่น้อย  หลักเกณฑ์การแข่งขันนกเขาชวาเสียงมีการแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทเสียง คือ เสียงใหญ่ เสียงกลาง และเสียงเล็ก นกที่ขันมีปลายเสียงหรือกังวานถือได้ว่าเป็นนกที่ดี ซึ่งการพิจารณาจะต้องดูลีลาจังหวะการขัน เช่น ช้า เร็ว อีกด้วย  ซึ่งนกที่ได้รับรางวัล จะสร้างชื่อเสียงให้แก่ผู้เลี้ยงและพื้นที่ ซึ่งจะมีราคาซื้อขายกันเป็นตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้านบาท ผู้ที่มีนกเขาดีและชนะการประกวดในแต่ละครั้งราคานกก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ การแข่งขันในแต่ละครั้งใช่ว่าจะหวังเพียงเพื่อเงินรางวัล หากแต่ยังนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งไปทำประโยชน์เพื่อสังคมอีกด้วย


และเหนือสิ่งอื่นใดการจัดกิจกรรมแต่ละครั้ง เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า  นกเขาชวาเสียง หาใช่เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงเชิงเศรษฐกิจของผู้ที่หลงใหลในน้ำเสียงอันไพเราะแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากแต่มันคือสื่อกลางในการนำพาผู้คนทุกเชื้อชาติ ชนชั้น มาพบปะ พูดคุย ถามทุกข์สุขฉันท์พี่น้อง พัฒนาความสัมพันธ์ อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่นำไปสู่ ที่หมายปลายทางของคำว่า “สันติสุข” ในสังคมชายแดนใต้ ผ่านนกตัวเล็กๆ ที่ดำรงอยู่คู่วิถีชีวิตของผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาเนิ่นนาน  ให้ร่มเย็นสืบต่อไป นี่คือบทบาทที่สำคัญของ นกเขาชวาเสียง “นกสันติภาพชายแดนใต้”


ขอบคุณภาพสวยๆ จาก http://janineartexhibition.blogspot.com

“บูดู” จากวิถีชีวิต สู่ เศรษฐกิจชุมชน

 


วัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับคนไทยไม่น้อยไปกว่าวัฒนธรรมการแต่งกาย และวัฒนธรรมด้านภาษา คือ วัฒนธรรมด้านอาหาร ซึ่งคนไทยมีวัฒนธรรมอาหารที่มีเครื่องปรุงเคียงคู่กับอาหารเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับประทานแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ซึ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมี “น้ำบูดู” น้ำปรุงชั้นเลิศที่เป็นวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมาช้านาน หาก “ปลาร้า” คือเอกลักษณ์ของชาวอีสาน “บูดู” ก็ถือเป็นเอกลักษณ์ของคนชายแดนภาคใต้เฉกเช่นเดียวกัน

คำว่า “บูดู” สันนิษฐานว่าเป็นคำที่มาจากภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า ปลาหมักดอง เนื่องมาจากในอดีตชาวอินโดนีเซียถูกศัตรูตีเมืองแตก (เมืองยาวอ) และได้แล่นเรือไปเรื่อยๆ ระหว่างทางได้จับปลาเล็กๆ หมักดองในไหเก็บไว้กินนานๆ หลังจากนั้น ได้มาขึ้นฝั่งที่ ตำบลปะเสยะวอ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี จึงได้นำวิธีการหมักปลามาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ และที่นี่ได้กลายเป็นแหล่งผลิตน้ำบูดูที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปัตตานีและในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 


เขตอำเภอสายบุรี เกือบทั้งหมดติดกับทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวประมง ซึ่งเมื่อหาปลาได้จำนวนมาก ก็จะคัดเอาปลาตัวใหญ่ๆ ไปขายหรือประกอบอาหาร ส่วนตัวเล็กเช่นปลาไส้ตันหรือปลากะตัก จะนำไปหมักกับเกลือไว้ในไหหรือโอ่ง ประมาณ 1 ปี จึงจะได้น้ำบูดู ที่อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และโพรไบโอติก กลายเป็นอาหารคู่ครัวของชาวปะเสยะวอ 

บูดู ที่ดีมีคุณภาพจะใช้ปลากะตักเป็นวัตถุดิบหลัก โดยหมักกับเกลือทะเลนานประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ผลิตภัณฑ์บูดูจะแบ่งเป็นสองประเภท คือ บูดูเค็ม กับ บูดูหวาน ซึ่ง บูดูเค็มแบ่งออกเป็นสองชนิดได้แก่ บูดูข้นและบูดูใส บูดูข้น จะมีส่วนที่เป็นเนื้อปลาผสมอยู่จนสามารถสังเกตเห็นได้ชัด ส่วนบูดูใส มีลักษณะคล้ายน้ำปลา แต่จะมีสีเข้มกว่า มีหลายระดับ ทั้งน้ำบูดูแท้ คือ ส่วนที่เป็นของเหลวด้านบนของการหมัก เรียกว่า น้ำบูดูชั้น 1 ไม่ผสมอะไรเลย ซึ่งจะมีกลิ่นและรสที่ดีกว่ามีโปรตีนสูง น้ำบูดูชั้น 2 หรือบูดูปรุงรส ได้จากกากปลาหมักจากน้ำบูดูชั้น 1 ที่นำมาบดละเอียดและเติมน้ำเกลือกับเครื่องปรุงอื่นๆ แล้วนำไปกรองอีกครั้ง ส่วนน้ำบูดูหวานหรือบูดูข้าวยำ เป็นการแปรรูปบูดู โดยนำ มาต้มเคี่ยวกับ น้ำตาลปี๊บ ใบมะกรูด ข่า ตะไคร้หัวหอมแดง และกระเทียม ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็น บูดูแห้งและชุดข้าวยำ ซึ่งประกอบด้วยน้ำบูดู ปลาคั่วและมะพร้าวคั่ว ล้วนเป็นวัตถุดิบสดใหม่ในท้องถิ่นทั้งสิ้น


นอกจากในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ที่มีผู้ผลิตบูดูชื่อดังมากมายหลายเจ้าแล้ว ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ มีการผลิตน้ำบูดูโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกระจายไปในทุกจังหวัด เช่น ที่บ้านบาเฆะ ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส หรือพื้นที่บ้านสะตงนอก อำเภอเมืองจังหวัดยะลา รวมทั้งอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ก็ยังมีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ต่างมีสูตรและรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดเด่นของตัวเอง ทั้งที่เหมือนและแตกต่างกันไป บางพื้นที่ทำเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนไว้กินไว้ขายในท้องถิ่น บางแห่งทำการผลิตตามมาตรฐานอุตสาหกรรมได้รับเครื่องหมาย อย.และฮาลาล มีหลากหลายรูปแบบทั้งแบบเป็นน้ำบรรจุขวด บรรจุถุง หรืออบแห้งบรรจุกล่องหรือเป็นกระปุก สามารถเลือกซื้อไปเป็นของฝากได้ นอกจากนี้ลูกหลานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องไปเรียนต่างที่ต่างถิ่นหรือแม้แต่ต่างประเทศ ก็สามารถนำติดตัวไปเป็นเสบียงไว้บริโภคเพราะสามารถเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน 

ปัจจุบันบูดูกลายเป็นส่วนผสมสำคัญของอาหารท้องถิ่นหลากหลายเมนู อาทิ บูดูข้าวยำ น้ำจิ้ม น้ำพริก หรือบูดูทรงเครื่อง มีผู้คนนิยมบริโภคมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้เป็นอาชีพที่สร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมอบหมายศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดำเนินการสนับสนุนผ่านแผนงาน/โครงการตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยบูรณาการกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และขยายช่องทางการตลาด ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้อยู่ภายใต้การขับเคลื่อน และการให้คำแนะนำของ นายจำนัล เหมือนดำ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตและศักยภาพของพื้นที่ 

น้ำบูดู ที่เริ่มจากวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ผ่านมาจนถึงวันนี้ ได้รับการพัฒนาต่อยอดจนเป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นส่งผลให้น้ำบูดูและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องถูกวางจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไป ตลอดจนห้างสรรพสินค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายผ่านทางระบบออนไลน์ ในเวบไซต์ชื่อดัง ที่สามารถจัดส่งถึงมือผู้บริโภคได้ทุกที่ทั่วโลกอีกด้วย จากวัฒนธรรมอาหารของผู้คนชายแดนใต้ มาบัดนี้ บูดู กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างเศรษฐกิจชุมชนในการ สร้างงาน สร้างรายได้ และนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามเป้าหมายของรัฐบาลต่อไป



บทความแนะนำ

“เบตง”เมืองต้นแบบการท่องเที่ยวชายแดนใต้เปิดแผนการพัฒนา “สุไหงโก-ลก” ให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าชายแดนใต้“หนองจิก” เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปนกเขาชวา นกสันติภาพชายแดนใต้


 
Design by Wordpress Theme | Bloggerized by Free Blogger Templates | coupon codes