แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รายงานพิเศษ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ รายงานพิเศษ แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

นกเขาชวา นกสันติภาพชายแดนใต้

 


"ชายแดนใต้ความหลากหลายที่ล้ำค่า"  เป็นคำกล่าวที่แสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างของผู้คนในพื้นที่   ที่มีทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลาม คนไทยเชื้อสายจีน และคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ จึงเป็นที่มาของความหลากหลายทางวัฒนธรรม  ที่ผ่านมาผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเป็นอยู่ที่สงบเรียบง่าย พึ่งพาอาศัยกันฉันญาติมิตร  บนพื้นฐานแห่งความพอเพียงมาช้านาน ประกอบกับความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์  ชายแดนใต้จึงเป็นเสมือนอัญมณี ที่รอการเจียระไนให้แววแสง แต่นับจากสถานการณ์ความไม่สงบที่ก่อตัวและขยายความรุนแรง รวมทั้งผู้ก่อความไม่สงบ ฉวยใช้ความแตกต่างทางอัตลักษณ์ของคนมลายู ความเชื่อทางศาสนา และประวัติศาสตร์ในอดีต เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยก ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดระแวงระหว่างผู้คนต่างศาสนิก ส่งผลให้ความสงบสุขที่เคยมีในอดีต กำลังจะลดเลือนหายไป

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนจุดเชื่อมประสานคนของผู้คนในสังคมชายแดนใต้และเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต นั่นก็คือ “นกเขาชวาเสียง” เหตุที่ชื่อนกเขาชวา กล่าวกันว่าในสมัยหนึ่งชาวชวาให้ความสำคัญแก่นกเขาชนิดนี้มาก ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาลลาภยศ และโชคลาภ จึงพากันจับนกเขาชนิดนี้มาเลี้ยงกัน และนี่เองที่เป็นสาเหตุให้นกเขาเล็กชนิดนี้เรียกกันว่า “นกเขาชวา” ในอดีตจะนิยมเลี้ยง และเล่นกันในราชสำนัก ข้าราชบริพาร ขุนนาง คหบดี และประชาชนที่สูงอายุ มักจัดงานแข่งขันในงานนักขัตฤกษ์ และงานชมรมสมาคมเกี่ยวกับนกเขาชวา ไม่มีหลักฐานปรากฏยืนยันได้ว่าการจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด ซึ่งคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมเลี้ยงไว้ประดับบ้านเช่นกันถือเป็นมงคล  โดยเลือกนกเขาที่เข้าลักษณะตามตำรา และมีเสียงดีตามลักษณะนิยม  ซึ่งเมื่อมีการจัดการแข่งขันครั้งใด ก็จะเห็นคนเหล่านี้นำนกเข้าร่วมแข่งขันกันอย่างคับคั่ง และถือโอกาสพบปะพูดคุยกันในกลุ่ม “ชวาวงค์” อย่างสนิทสนม ไม่เฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่ความรู้สึกเช่นนี้ ยังได้แพร่ขยายไปยังคนไทยในภูมิภาคอื่น และประเทศเพื่อนบ้าน เช่นมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน ทั้งนี้เป็นเพราะคนเหล่านี้ต่างมีความสนใจในสิ่งเดียวกัน   และเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้เลี้ยงนกเขาว่า การแข่งขันนกเขาชวาเสียงที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่สนใจของผู้นิยมเลี้ยงนกมากที่สุด คือ การแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี 

จากความริเริ่มของ เทศบาลเมืองยะลาที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้ร่วมกับจังหวัดยะลา ชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงจังหวัดยะลา และชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงภาคใต้ โดยการสนับสนุนของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค ๔ ได้ร่วมกันพัฒนาสนามแข่งขัน และกติกาการแข่งขันให้มีมาตรฐานเพิ่มขึ้น ตลอดจนความคิดที่จะพัฒนาเสริมสร้างประโยชน์ให้กับท้องถิ่นในด้านเศรษฐกิจจึงได้กำหนดให้มีการแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงชนะเลิศในระดับอาเซียน ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2529 ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยการใช้ชื่อในการจัดการแข่งขันว่า "งานแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงแชมป์กลุ่มประเทศอาเซียนครั้งที่ 1" สาเหตุที่ใช้คำว่า "อาเซียน" เพราะมีประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเข้าร่วมแข่งขันด้วย คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน ซึ่งประเทศดังกล่าวนี้มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ได้มีการแลกเปลี่ยน สนับสนุนเกื้อกูลกันในเรื่องต่าง ๆ มาตลอด ที่สำคัญคือ มีความชื่นชอบ และนิยมเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเหมือนกัน จึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ทางสังคม คือ สังคมนกเขาชวาเสียง หรือ “กลุ่มชวาวงค์” นั่นเอง


ในปัจจุบัน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลาบางส่วน ได้มีการแข่งขันในกลุ่มเล็ก ๆ อยู่เป็นประจำ และ ในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปีจะมีการจัดการแข่งขันใหญ่ในระดับประเทศและนานาชาติ ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งการแข่งขันประชันเสียงนกเขาชวาแต่ละครั้ง จะมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้ที่เป็นเจ้าของนก ผู้ชมและผู้ที่สนใจจะเสาะหาพันธุ์นกไว้เป็นเจ้าของ   ก่อให้เกิดผลต่อเนื่องในเชิงเศรษฐกิจ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้า และการประกอบอาชีพที่ต่อเนื่องจากการเพาะเลี้ยงพัฒนาสายพันธุ์นก คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนเงินไม่น้อย  หลักเกณฑ์การแข่งขันนกเขาชวาเสียงมีการแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทเสียง คือ เสียงใหญ่ เสียงกลาง และเสียงเล็ก นกที่ขันมีปลายเสียงหรือกังวานถือได้ว่าเป็นนกที่ดี ซึ่งการพิจารณาจะต้องดูลีลาจังหวะการขัน เช่น ช้า เร็ว อีกด้วย  ซึ่งนกที่ได้รับรางวัล จะสร้างชื่อเสียงให้แก่ผู้เลี้ยงและพื้นที่ ซึ่งจะมีราคาซื้อขายกันเป็นตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้านบาท ผู้ที่มีนกเขาดีและชนะการประกวดในแต่ละครั้งราคานกก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ การแข่งขันในแต่ละครั้งใช่ว่าจะหวังเพียงเพื่อเงินรางวัล หากแต่ยังนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งไปทำประโยชน์เพื่อสังคมอีกด้วย


และเหนือสิ่งอื่นใดการจัดกิจกรรมแต่ละครั้ง เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า  นกเขาชวาเสียง หาใช่เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงเชิงเศรษฐกิจของผู้ที่หลงใหลในน้ำเสียงอันไพเราะแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากแต่มันคือสื่อกลางในการนำพาผู้คนทุกเชื้อชาติ ชนชั้น มาพบปะ พูดคุย ถามทุกข์สุขฉันท์พี่น้อง พัฒนาความสัมพันธ์ อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่นำไปสู่ ที่หมายปลายทางของคำว่า “สันติสุข” ในสังคมชายแดนใต้ ผ่านนกตัวเล็กๆ ที่ดำรงอยู่คู่วิถีชีวิตของผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาเนิ่นนาน  ให้ร่มเย็นสืบต่อไป นี่คือบทบาทที่สำคัญของ นกเขาชวาเสียง “นกสันติภาพชายแดนใต้”


ขอบคุณภาพสวยๆ จาก http://janineartexhibition.blogspot.com

“บูดู” จากวิถีชีวิต สู่ เศรษฐกิจชุมชน

 


วัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับคนไทยไม่น้อยไปกว่าวัฒนธรรมการแต่งกาย และวัฒนธรรมด้านภาษา คือ วัฒนธรรมด้านอาหาร ซึ่งคนไทยมีวัฒนธรรมอาหารที่มีเครื่องปรุงเคียงคู่กับอาหารเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับประทานแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ซึ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมี “น้ำบูดู” น้ำปรุงชั้นเลิศที่เป็นวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมาช้านาน หาก “ปลาร้า” คือเอกลักษณ์ของชาวอีสาน “บูดู” ก็ถือเป็นเอกลักษณ์ของคนชายแดนภาคใต้เฉกเช่นเดียวกัน

คำว่า “บูดู” สันนิษฐานว่าเป็นคำที่มาจากภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า ปลาหมักดอง เนื่องมาจากในอดีตชาวอินโดนีเซียถูกศัตรูตีเมืองแตก (เมืองยาวอ) และได้แล่นเรือไปเรื่อยๆ ระหว่างทางได้จับปลาเล็กๆ หมักดองในไหเก็บไว้กินนานๆ หลังจากนั้น ได้มาขึ้นฝั่งที่ ตำบลปะเสยะวอ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี จึงได้นำวิธีการหมักปลามาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ และที่นี่ได้กลายเป็นแหล่งผลิตน้ำบูดูที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปัตตานีและในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 


เขตอำเภอสายบุรี เกือบทั้งหมดติดกับทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวประมง ซึ่งเมื่อหาปลาได้จำนวนมาก ก็จะคัดเอาปลาตัวใหญ่ๆ ไปขายหรือประกอบอาหาร ส่วนตัวเล็กเช่นปลาไส้ตันหรือปลากะตัก จะนำไปหมักกับเกลือไว้ในไหหรือโอ่ง ประมาณ 1 ปี จึงจะได้น้ำบูดู ที่อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และโพรไบโอติก กลายเป็นอาหารคู่ครัวของชาวปะเสยะวอ 

บูดู ที่ดีมีคุณภาพจะใช้ปลากะตักเป็นวัตถุดิบหลัก โดยหมักกับเกลือทะเลนานประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ผลิตภัณฑ์บูดูจะแบ่งเป็นสองประเภท คือ บูดูเค็ม กับ บูดูหวาน ซึ่ง บูดูเค็มแบ่งออกเป็นสองชนิดได้แก่ บูดูข้นและบูดูใส บูดูข้น จะมีส่วนที่เป็นเนื้อปลาผสมอยู่จนสามารถสังเกตเห็นได้ชัด ส่วนบูดูใส มีลักษณะคล้ายน้ำปลา แต่จะมีสีเข้มกว่า มีหลายระดับ ทั้งน้ำบูดูแท้ คือ ส่วนที่เป็นของเหลวด้านบนของการหมัก เรียกว่า น้ำบูดูชั้น 1 ไม่ผสมอะไรเลย ซึ่งจะมีกลิ่นและรสที่ดีกว่ามีโปรตีนสูง น้ำบูดูชั้น 2 หรือบูดูปรุงรส ได้จากกากปลาหมักจากน้ำบูดูชั้น 1 ที่นำมาบดละเอียดและเติมน้ำเกลือกับเครื่องปรุงอื่นๆ แล้วนำไปกรองอีกครั้ง ส่วนน้ำบูดูหวานหรือบูดูข้าวยำ เป็นการแปรรูปบูดู โดยนำ มาต้มเคี่ยวกับ น้ำตาลปี๊บ ใบมะกรูด ข่า ตะไคร้หัวหอมแดง และกระเทียม ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็น บูดูแห้งและชุดข้าวยำ ซึ่งประกอบด้วยน้ำบูดู ปลาคั่วและมะพร้าวคั่ว ล้วนเป็นวัตถุดิบสดใหม่ในท้องถิ่นทั้งสิ้น


นอกจากในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ที่มีผู้ผลิตบูดูชื่อดังมากมายหลายเจ้าแล้ว ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ มีการผลิตน้ำบูดูโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกระจายไปในทุกจังหวัด เช่น ที่บ้านบาเฆะ ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส หรือพื้นที่บ้านสะตงนอก อำเภอเมืองจังหวัดยะลา รวมทั้งอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ก็ยังมีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ต่างมีสูตรและรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดเด่นของตัวเอง ทั้งที่เหมือนและแตกต่างกันไป บางพื้นที่ทำเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนไว้กินไว้ขายในท้องถิ่น บางแห่งทำการผลิตตามมาตรฐานอุตสาหกรรมได้รับเครื่องหมาย อย.และฮาลาล มีหลากหลายรูปแบบทั้งแบบเป็นน้ำบรรจุขวด บรรจุถุง หรืออบแห้งบรรจุกล่องหรือเป็นกระปุก สามารถเลือกซื้อไปเป็นของฝากได้ นอกจากนี้ลูกหลานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องไปเรียนต่างที่ต่างถิ่นหรือแม้แต่ต่างประเทศ ก็สามารถนำติดตัวไปเป็นเสบียงไว้บริโภคเพราะสามารถเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน 

ปัจจุบันบูดูกลายเป็นส่วนผสมสำคัญของอาหารท้องถิ่นหลากหลายเมนู อาทิ บูดูข้าวยำ น้ำจิ้ม น้ำพริก หรือบูดูทรงเครื่อง มีผู้คนนิยมบริโภคมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้เป็นอาชีพที่สร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมอบหมายศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดำเนินการสนับสนุนผ่านแผนงาน/โครงการตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยบูรณาการกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และขยายช่องทางการตลาด ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้อยู่ภายใต้การขับเคลื่อน และการให้คำแนะนำของ นายจำนัล เหมือนดำ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตและศักยภาพของพื้นที่ 

น้ำบูดู ที่เริ่มจากวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ผ่านมาจนถึงวันนี้ ได้รับการพัฒนาต่อยอดจนเป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นส่งผลให้น้ำบูดูและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องถูกวางจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไป ตลอดจนห้างสรรพสินค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายผ่านทางระบบออนไลน์ ในเวบไซต์ชื่อดัง ที่สามารถจัดส่งถึงมือผู้บริโภคได้ทุกที่ทั่วโลกอีกด้วย จากวัฒนธรรมอาหารของผู้คนชายแดนใต้ มาบัดนี้ บูดู กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างเศรษฐกิจชุมชนในการ สร้างงาน สร้างรายได้ และนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามเป้าหมายของรัฐบาลต่อไป



บทความแนะนำ

“เบตง”เมืองต้นแบบการท่องเที่ยวชายแดนใต้เปิดแผนการพัฒนา “สุไหงโก-ลก” ให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าชายแดนใต้“หนองจิก” เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปนกเขาชวา นกสันติภาพชายแดนใต้


วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2564

“หนองจิก” เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป


“หนองจิก” หนึ่งในสามเมืองต้นแบบ ตามโครงการเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ที่ถูกกำหนดให้เป็น “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตร”  ตามนโยบายแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาล ที่มีเป้าหมาย เพื่อพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจเฉพาะ กระตุ้นให้เกิดการลงทุน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียง อำเภอหนองจิก มีศักยภาพในการพัฒนาหลายด้าน ประกอบด้วย การคมนาคมขนส่ง ที่สามารถเดินทางและกระจายสินค้าได้ทั้งทางบกและทางทะเล  มีพื้นที่และผลิตผลทางการเกษตรจำนวนมากเหมาะสมในการตั้งโรงงานเพื่อแปรรูปทางการเกษตรและการทำเกษตรอุตสาหกรรมแบบครบวงจร  นอกจากนี้ยังมีส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆ ที่พร้อมบูรณาการความร่วมมือได้อย่างเต็มที่ ตลอดจนการรวมกลุ่มของประชาชนทางด้านการเกษตรมีจำนวนมากและเข้มแข็ง


 แม้ว่าที่ผ่านมาข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่อำเภอหนองจิก จะถูกหยิบยกนำเสนอผ่านสื่อมวลชนไม่มากนัก แต่การดำเนินการยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ ปี 2560 ที่ รัฐบาลอนุมัติงบประมาณ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการแปรรูปสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม รวมทั้งการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน ปัจจุบัน มีความคืบหน้าไปมาก โดยได้มีการส่งเสริมและพัฒนากระบวนการแปรรูปสินค้าและผลิตภัณฑ์ ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย สนับสนุน Young Smart Farmer ในพื้นที่ ส่งเสริมกลุ่มอาชีพ วิสาหกิจชุมชนสินค้า OTOP รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กล่องบรรจุภัณฑ์ และการสร้างความหลากหลายของสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งมีกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ผลิตอาหารแปรรูปเพื่อการจำหน่ายหลายกลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มวิสาหกิจชุมชน (ฟาร์มแพะ/แกะ) บารอกะฮ์ , วิสาหกิจชุมชนออรังปันตัย ตันหยงเปาว์ , วิสาหกิจชุมชนท่ายาลอ , วิสาหกิจศรีบารู , วิสาหกิจชุมชนปลาหวานดาริน ซึ่งแต่ละกลุ่มมีความเข้มแข็งในการบริหารจัดการ และพร้อมรับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพการผลิตข้าวบ้านท่าด่าน และ กิจกรรมส่งเสริมและขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน 2,800 ไร่ สำหรับในพื้นที่ อำเภอหนองจิกมีจำนวน 465 ไร่ โดยรัฐบาลสนับสนุนงบประมาณในการ ขุดร่องยกแปลง ซื้อพันธุ์ปาล์มและปุ๋ย ไม่เกิน 15 ไร่ต่อครัวเรือน รวมทั้งการส่งเสริมการปลูกมะพร้าว 4,000 ไร่ ซึ่งในพื้นที่อำเภอหนองจิก มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการรวม 200 ครัวเรือน



สำหรับการส่งเสริมศักยภาพด้านปศุสัตว์ ปัจจุบันได้จัดสร้างตลาดกลางปศุสัตว์จังหวัดปัตตานี ขึ้น ที่บริเวณพื้นที่ศูนย์วิจัยและบำรุงพันธุ์สัตว์ปัตตานี ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก บนเนื้อที่ 7 ไร่ เพื่อรองรับกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับปศุสัตว์ ตลอดจนประชาชนผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายให้เป็นศูนย์กลางในการซื้อขายผลผลิตทาง  ปศุสัตว์ โดยเฉพาะโค แพะ และสัตว์ปีก ตลอดจนผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้มาตรฐาน กระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุน นำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่และขยายผลไปยังพื้นที่ใกล้เคียง นอกจากนี้ยังเป็นการยกระดับตลาดปศุสัตว์ให้ได้มาตรฐาน มุ่งสู่การสร้างฐานเศรษฐกิจและศักยภาพในการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศ 
นอกจากการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพการแปรรูปสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม แล้ว ยังมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการลงทุนจากภาคเอกชน เช่น การตัดถนนเลี่ยงเมือง ระหว่างถนนหมายเลข 43 เชื่อมกับ ถนนหมายเลข 42 ต.บาราโหม อ.เมืองปัตตานี รวมระยะทาง 14 กิโลเมตร เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่ง ตลอดจนแนวคิดในการพัฒนาสนามบินบ่อทอง ที่อยู่ในความดูแลของกองกำลังทหารอากาศเฉพาะกิจที่ 9 ให้เป็นสนามบินพาณิชย์ในระยะต่อไป



ส่วนในภาคการลงทุน ปัจจุบันมีภาคเอกชนสนใจมาลงทุนภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่สอดคล้องกับศักยภาพพื้นที่ โดยคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนประมาณ 12,000-15,000 ล้านบาท อาทิ โครงการโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ของบริษัท ปาล์มพัฒนาชายแดนใต้ จำกัด ที่จะเพิ่มกำลังการผลิตจาก 60 ตันทะลายต่อชั่วโมง เป็น 120 ตันทะลายต่อชั่วโมง ในปี 2563 บริษัท ยางไทยปักษ์ใต้ จำกัด , บริษัท ไทยเทครับเบอร์ จำกัด และบริษัทแปรรูปมะพร้าว หนองจิกพัฒนา นอกจากนี้ยังมีโรงงานแปรรูปผลไม้ โรงงานแปรรูปอาหารทะเล ล่าสุด กลุ่มอำพลฟู้ดส์ ได้แสดงความสนใจที่จะลงทุนโรงงานแปรรูปมะพร้าวแบบครบวงจรอีกด้วย
เพื่อเป็นการดึงดูดนักลงทุน รัฐบาลได้มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนภายใต้โครงการเมืองต้นแบบ โดยให้สิทธิพิเศษต่างๆ เช่น ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นอากรขาเข้าร้อยละ 90 สำหรับวัตถุดิบนำเข้ามาผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเป็นเวลา 10 ปี ยกเว้นภาษีเงินได้ 8 ปี (ไม่จำกัดวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล) ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้า และค่าประปา 2 เท่าของค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นเวลา 20 ปี หักเงินลงทุนในการติดตั้งหรือก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก   ร้อยละ 25 ของเงินลงทุน อนุญาตให้ใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือในโครงการที่ได้รับการส่งเสริม และสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษีอากร ซึ่งสิทธิพิเศษเหล่านี้เป็นนโยบายที่รัฐบาลต้องการจูงใจ ให้มีการลงทุนในพื้นที่ สร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน และบรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนด คือ การพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีความ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน




วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2564

เปิดแผนการพัฒนา “สุไหงโก-ลก” ให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าชายแดนใต้


 สุไหงโก-ลก เป็น 1 ใน 13 อำเภอ ของ จังหวัดนราธิวาส ที่ตัวเมืองมีขนาดใหญ่และเจริญกว่าตัวจังหวัดมาก เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคใต้ตอนล่าง เพราะมีอาณาเขตติดต่อกับรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ถึงสองด้านคือทิศตะวันออกและทิศใต้  สามารถเดินทางเข้า-ออก หรือขนส่งสินค้าทางรถยนต์ ได้สะดวก ประชากรในเขตเมืองส่วนใหญ่ เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน ชาวไทยพุทธ ส่วนชาวไทยมุสลิมมักจะอาศัยอยู่นอกเมือง ประกอบอาชีพทางการเกษตร นิยมปลูกลองกองและยางพารา การนับถือศาสนา มีทั้งศาสนาอิสลาม พุทธและคริสต์ สภาพโดยรวมมีความคล้ายคลึงกับอำเภอเบตง จังหวัดยะลา เพียงแต่เบตงจะมีชาวไทยเชื้อสายจีนมากกว่ากลุ่มอื่นๆ 

ปัจจุบันอำเภอสุไหงโก-ลกมีความเจริญและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภาคใต้ตอนล่าง มีด่านการค้าชายแดนที่ใหญ่ที่สุดของฝั่งตะวันออก เป็นศูนย์กลางของการค้าขายส่งสินค้าทั้งพืชผักผลไม้ ตลอดจนไม้แปรรูป สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และขนมนมเนยจากประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ที่เดินทางผ่านเข้า-ออกด่านสุไหงโก-ลก ปีละหลายแสนคน นับเป็นจุดแข็งที่ส่งผลให้ สุไหงโก-ลก เป็นหนึ่งในสามเมืองต้นแบบ ตามโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ในฐานะเมือง “การค้าชายแดนระหว่างประเทศ” 

สำหรับแผนการพัฒนาเพื่อให้เป็นเมืองต้นแบบ “การค้าชายแดนระหว่างประเทศ” ของอำเภอสุไหงโก-ลก ได้เน้นการพัฒนาศักยภาพของเมืองชายแดนในหลายมิติ โดยความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ประกอบด้วยการเปิดจุดให้บริการ One Stop Service ของ ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการที่นำเข้าและส่งออกผ่านด่านพรมแดนแบบครบวงจร ทำให้ปัจจุบันมีมูลค่าการนำเข้าส่งออกปีละประมาณ 3,200 ล้านบาท สินค้าหลักร้อยละ 80 เป็นสินค้านำเข้าจากประเทศมาเลเซีย จำพวกไม้แปรรูปและอาหารทะเล   ขณะที่มีสินค้าจากไทยส่งออกไปยังมาเลเซีย อาทิ แป้ง   น้ำยางพารา ประมาณ 400 ล้านบาทต่อปี  จากการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ ที่ จังหวัดนราธิวาส ระหว่างวันที่ 20-21 มกราคม ที่ผ่านมา ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.)  ร่วมกับ อำเภอสุไหงโก-ลก ได้เสนอแผนขอความเห็นชอบงบประมาณในการลงทุนพัฒนาเมืองสุไหงโก-ลก จากคณะรัฐมนตรี ด้านต่างๆ เช่น

- การก่อสร้างศูนย์การค้าชายแดน ประกอบด้วย อาคารที่จะใช้ติดต่อนักลงทุน อาคารประชุมของเทศบาล ขนาด 1,000 ที่นั่ง และ ลานวัฒนธรรม ในวงเงินงบประมาณ 300 ล้านบาท

- สร้างร้านค้าปลอดภาษี (duty free) ส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยว ที่บริเวณด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก ในวงเงินงบประมาณ 30 ล้านบาท พร้อมเสนอให้ ศุลกากร จูงใจให้สิทธิพิเศษคนไทยช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมปลอดภาษี ได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาท/คน/เดือน เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการในพื้นที่ ส่วนสินค้าที่จะนำมาจำหน่ายในร้านค้าปลอดภาษี แบ่งเป็นสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ของจังหวัดนราธิวาส ร้อยละ 25 ที่เหลือจะเป็นสินค้าแบรนด์เนมในดิวตี้ฟรีทั่วไป โดยจะปรับเปลี่ยนรูปแบบของการจำหน่ายสินค้าปลอดภาษี ใหม่ ให้เจาะกลุ่มลูกค้าชาวไทยมากขึ้น 

- ยกระดับตลาดเก็นติ้ง เป็นตลาดกลางการเกษตร ให้มีรูปแบบเหมือนตลาดไท ที่จังหวัดปทุมธานี ซึ่งมีพื้นที่ในการจัดทำโครงการประมาณ 8 ไร่ ที่เทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ขอเช่าพื้นที่จากการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อปรับปรุงให้เป็นแหล่งรวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการที่เป็นพ่อค้าคนกลางและเกษตรกรจากอำเภอใกล้เคียง ทั้งนี้ลูกค้ากลุ่มหลักคือชาวมาเลเซียที่นิยมมาจับจ่ายซื้อสินค้าทั้งปลีกและส่ง เพื่อนำไปจำหน่ายต่อในประเทศมาเลเซีย เพราะที่ตลาดแห่งนี้ มีสินค้าคุณภาพดี ราคาถูก และครบทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ โดยเฉพาะผลผลิตทางการเกษตรที่หลากหลาย และส่งตรงมาจากแหล่งผลิตในจังหวัดใกล้เคียง 

- ก่อสร้างสถานีขนส่งครบวงจร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและขยายตลาดการค้า โดยมีแผนก่อสร้าง คลังเก็บสินค้า จุดกระจายสินค้า และจุดรับ-ส่งสินค้า ที่ครบวงจรและได้มาตรฐาน รองรับความต้องการของภาคเอกชน เบื้องต้นทางอำเภอสุไหงโก-ลก ได้เตรียมจัดซื้อที่ดินจำนวน 87 ไร่ เพื่อจัดทำสถานีขนส่งครบวงจรที่มีลานกองเก็บและคลังสินค้า โดยตั้งงบประมาณเบื้องต้นไว้ที่ 300 ล้านบาท ปัจจุบันกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม อนุมัติงบประมาณแล้ว 3 ล้านบาท เพื่อทำการศึกษาและออกแบบโครงสร้าง รวมถึงแผนปรับปรุงพื้นที่สถานีรถไฟสุไหงโก-ลก ซึ่งถือเป็นสถานีสุดท้ายของประเทศไทยก่อนเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย ในวงเงินงบประมาณ 31 ล้านบาทเศษ  โดยปรับรางวิ่ง ปรับปรุงคลังสินค้า และพิพิธภัณฑ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ในอดีตสามารถเดินทางเข้าประเทศมาเลเซียผ่านทางรถไฟได้ แต่ปัจจุบันเกิดน้ำท่วมใหญ่ในมาเลเซีย ทำให้เส้นทางนี้หายไป และยังไม่ได้เปิดใช้บริการ ล่าสุดอยู่ในขั้นตอนพูดคุยระหว่าง ศอ.บต.กับทางการประเทศมาเลเซีย


            ขณะที่การส่งเสริมด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยว มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาร่วมจัดกิจกรรม เพื่อกระตุ้นบรรยากาศการท่องเที่ยว อาทิ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนราธิวาส สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนราธิวาส และเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก ที่มีการจัดกิจกรรมออกร้านและจัดแสดงสินค้า โครงการพัฒนาผู้ประกอบการ และการจัดกิจกรรมสันทนาการ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยมีเงินสะพัดในพื้นที่มากกว่า 50 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบ สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนของรัฐบาล ที่เกิดจากความร่วมมือของภาคส่วนต่างๆในการเชื่อมโยงกรอบการทำงานที่สอดรับกันในทุกด้าน ส่งผลให้เกิดความตื่นตัวในการกระตุ้นเศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงการสร้างพื้นฐานในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ซึ่งผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงคือประชาชนในพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก รวมทั้งอีก 12 อำเภอของจังหวัดนราธิวาส และชาวมาเลเซียตามแนวชายแดน นอกจากนี้ยังรวมถึงประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย




บทความแนะนำ

“เบตง”เมืองต้นแบบการท่องเที่ยวชายแดนใต้“หนองจิก” เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป“บูดู” จากวิถีชีวิต สู่ เศรษฐกิจชุมชนนกเขาชวา นกสันติภาพชายแดนใต้


วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564

“เบตง”เมืองต้นแบบการท่องเที่ยวชายแดนใต้

“เมืองในหมอก ดอกไม้งาม ใต้สุดสยาม เมืองงามชายแดน” อำเภอเบตง จังหวัดยะลา หนึ่งในสามอำเภอนำร่อง ที่รัฐบาลกำหนดไว้ในโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” เมืองต้นแบบด้านการท่องเที่ยว การบริการ และพึ่งพาตนเอง เนื่องจาก เบตง เป็นอำเภอใต้สุดของประเทศไทยติดชายแดนมาเลเซีย มีความเคลื่อนไหวทางธุรกิจการค้าสูง มีการผสมผสานทางวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา และชาติพันธ์หลากหลาย อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามจึงทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นการพัฒนาพื้นที่อำเภอเบตงจึงต้องมีการบูรณาการจากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรม ที่ผ่านมาภาครัฐได้ร่วมคิดร่วมวางแผนพัฒนาเมืองเบตงร่วมกับภาคเอกชนและประชาชนอย่างใกล้ชิด ตลอดจนการนำแนวความคิดและความต้องการของประชาชน เป็นข้อมูลประกอบการวางแผนงาน/โครงการต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการประชาชนและความเจริญของพื้นที่ มีการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ซึ่งได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบการคมนาคมขนส่ง ปรับปรุงและขยายพื้นผิวจราจร ถนนสาย 410 ยะลา-เบตง การก่อสร้างสนามบินเบตง รวมทั้งการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่นการก่อสร้าง “สกายวอล์ค ทะเลหมอกอัยเยอร์เวง”  แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของ อำเภอเบตง ที่มีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าสามารถเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ภายในปี 2563 รวมทั้งการปรับปรุงพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่เดิม ให้มีความสวยงามและสะดวกสบายขึ้นเช่นบ่อน้ำร้อนบ้านนากอ ตำบลอัยเยอร์เวง เตรียมรองรับนักท่องเที่ยว ที่คาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลังจากที่สนามบินเปิดให้บริการ



จากการลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งเปิดแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงใหม่ ที่บ่อน้ำร้อนบ้านนากอ ตำบลอัยเยอร์เวง อำเภอเบตง  ตามโครงการแหล่งท่องเที่ยวชุมชนต้นแบบ ของ พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่ผ่านมา โครงการดังกล่าวถือเป็นโครงการแรกที่ริเริ่มโดยคนในชุมชน ที่ต้องการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่สมาชิกในชุมชน นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะกระจายนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่อื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง เพื่อต่อยอดการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้ จากการจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง ของที่ระลึก ธุรกิจโฮมสเตย์ และการนำเที่ยว อันจะเป็นการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน


“ไม่นาน อำเภอเบตงจะเป็นศูนย์กลางการคมนาคม ที่สามารถเดินทางเชื่อมโยงไปยังภูมิภาคอื่นๆได้สะดวกรวดเร็ว ผ่านสนามบินเบตง นอกจากนี้ ที่นี่จะเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของนักท่องเที่ยว ที่จะมาเยือนจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย นับเป็นความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ตามโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ที่จะส่งผลต่อการลดปัญหาความรุนแรงได้อีกทางหนึ่ง” พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวยืนยันต่อสื่อมวลชน หลังพิธีเปิดแหล่งท่องเที่ยวบ่อน้ำร้อน บ้านนากอ

สำหรับบ่อน้ำร้อนบ้านนากอ ตำบลอัยเยอร์เวง ถือเป็นต้นแบบของการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในชุมชน ให้เกิดประโยชน์อย่างยั่งยืน ที่ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในชุมชน 2 หมู่บ้าน กว่า 500 ครัวเรือน พื้นที่แห่งนี้ นอกจากจะมีความสวยงามร่มรื่น และสมบูรณ์หลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยังมีบ่อน้ำร้อน และลำธารน้ำใสที่ไหลตลอดปี อีกทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เพราะเคยเป็นที่ตั้งฐานชั่วคราวของพรรคคอมมิวนิสต์มลายา ก่อน ปีพุทธศักราช 2523 ตลอดจนยังเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์โอรัง อัสรี (ซาไก) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษรุ่นแรก ๆ ของผู้คนบนคาบสมุทรมลายู กว่า 50 ครัวเรือน จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะพัฒนาและยกระดับให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  การดำเนินการดังกล่าว มี ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) องค์การบริหารส่วนตำบลอัยเยอร์เวง และส่วนราชการในพื้นที่ ให้การสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและองค์ความรู้ทางวิชาการ

ผลจากความร่วมมือและบูรณาการร่วมกัน ระหว่างภาครัฐ  ภาคเอกชน และประชาชน  ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามโครงการเมืองต้นแบบ "สามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" เริ่มเกิดผลสัมฤทธิ์ชัดเจนขึ้นตามลำดับ ดังจะเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจการค้า ที่พัก ร้านอาหาร มีความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก มีการลงทุนจากนักลงทุนหน้าใหม่ๆ ตลอดจน ข้อมูลข่าวสารความเคลื่อนไหวด้านต่างๆ ของอำเภอเบตง เริ่มเป็นที่สนใจของผู้คนนอกพื้นที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี แสดงให้เห็นว่าการดำเนินการที่ผ่านมา ตรงตามความต้องการของประชาชน และบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดนั่นคือ การพัฒนาที่มุ่งยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของประชาชน ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน 

บทความแนะนำ

เปิดแผนการพัฒนา “สุไหงโก-ลก” ให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าชายแดนใต้ “หนองจิก” เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป“บูดู” จากวิถีชีวิต สู่ เศรษฐกิจชุมชนนกเขาชวา นกสันติภาพชายแดนใต้

 
Design by Wordpress Theme | Bloggerized by Free Blogger Templates | coupon codes