วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2565

กอ.รมน.จว.ย.ล.ร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณฯ

 


๑๓ ต.ค. ๖๕ เวลา ๑๘.๐๐ น. พ.อ. รุ่งโรจน์ อนันตโท รอง ผอ.สน.ปรมน.จว.มทบ.๔๖/รอง ผอ.รมน.จังหวัด ย.ล.(ท.) มอบหมายให้ พ.อ. ธนน ทรัพย์พรรณราย หน.กลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าวฯ พร้อมด้วย พ.อ. ฉัตรชัย ศิริ หน.กลุ่มงานบริหารงานบุคคลฯ เป็นผู้แทนหน่วย เข้าร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสักการะ เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๕ ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา โดยมี นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นประธานในพิธี






กอ.รมน.จว.ย.ล.ร่วมกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์และร่วมปลูกต้นไม้ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต


      เมื่อ ๑๓ ต.ค. ๖๕ ๑๔.๐๐ น. พ.อ. รุ่งโรจน์ อนันตโท รอง ผอ.สน.ปรมน.จว.มทบ.๔๖/รอง ผอ.รมน.จังหวัด ย.ล.(ท.) มอบหมายให้ พ.ต. ประวิทย์ อักษรนิตย์ หน.กลุ่มงานกิจการมาลชนฯ เข้าร่วมพิธีกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา ปรับปรุงภูมิทัศน์วัดคชศิลาวนาราม พร้อมทั้งร่วมปลูกต้นไม้ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๕ ณ วัดคชศิลาวนาราม ม.๔ ต.บาละ อ.กาบัง จว.ย.ล. โดยมี นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รอง ผวจ.ยะลา เป็นประธานฯ
      โอกาสนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตรเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพหน้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำกล่าวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ กล่าวคำปฏิญาณ เราทำความดี ด้วยหัวใจ ๓ ครั้ง ร่วมปลูกต้นหลุมพอ พร้อมนำจิตอาสานพระราชทาน ปรับปรุงภูมิทัศน์วัดคชศิลาวนาราม หมู่ที่ ๔ บ้านคชศิลา ต.บาละ อ.กาบัง จ.ยะลา เพื่อสร้างความสมัครสมานสามัคคีร่วมมือร่วมใจเพื่อประโยชน์ของชุมชน โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมสืบสาน พระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดีจะยึดมั่นในการปฏิบัติดีสนองพระมหากรุณาธิคุณตลอดไป




กอ.รมน.จว.ย.ล.ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต


 เมื่อ ๑๓ ต.ค. ๖๕  พ.อ. รุ่งโรจน์  อนันตโท รอง ผอ.สน.ปรมน.จว.มทบ.๔๖/รอง ผอ.รมน.จังหวัด ย.ล.(ท.) มอบหมายให้ พ.อ. ธนน ทรัพย์พรรณราย หน.กลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าวฯ พร้อมด้วย พ.อ. ฉัตรชัย ศิริ หน.กลุ่มงานบริหารงานบุคคลฯ เป็นผู้แทนหน่วย เข้าร่วมพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๑๓ ตุลาคม ๒๕๖๕ ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา โดยมี นายธีรุตม์ ศุภวิบูลย์ผล รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นประธานในพิธี










วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2565

รบ.เชิญชวนหน่วย-ประชาชน ร่วมกิจกรรมน้อมรำลึกวันคล้ายวันสวรรคต‘ในหลวง ร.9’

 


13 ต.ค.65 เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต ‘ในหลวง ร.9’ รัฐบาลเชิญชวนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกิจกรรมน้อมรำลึก 

รัฐบาลขอเชิญหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมกิจกรรมน้อมรำลึก เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร 13 ตุลาคม 2565 จัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมเครื่องราชสักการะ (เครื่องทองน้อย) ตามอาคารสถานที่ของหน่วยงานและบ้านเรือน ตลอดเดือนตุลาคม 2565

ข้อมูลและภาพจาก แนวหน้าออนไลน์


รอง ผอ.รมน.จังหวัด ย.ล.ร่วมสืบสานประเพณีออกพรรษาที่วัดคูหาภิมุข


           เมื่อ ๑๑ ต.ค. ๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายอำนาจ ชูทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา/รอง ผอ.รมน.จังหวัด ย.ล.นำพุทธศาสนิกชนในพื้นที่ ต.หน้าถ้ำ และพื้นที่ใกล้เคียงในจังหวัดยะลา ร่วมสืบสานประเพณีวันออกพรรษา โดยการตักบาตรเทโวโรหณะ ข้าวสาร อาหารแห้ง เพื่อสืบทอดประเพณีสำคัญทางพุทธศาสนา ร่วมกับชุมชนชาวพุทธ ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เสริมสร้างความสมัครสมานสามัคคีและลดอบายมุขในชุมชน นอกจากนี้ยังเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของชุมชนอีกด้วย ทั้งนี้ วัดหน้าถ้ำ หรือ วัดคูหาภิมุข ได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลหน้าถ้ำ สภาวัฒนธรรมตำบลและประชาชนในพื้นที่จัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น ภายในงานมีการจำลอง เทวดา นางฟ้า และแห่เสลี่ยงพระพุทธรูป นำพระภิกษุสงฆ์ เดินลงมาจากถ้ำ รับบิณฑบาตรที่บริเวณเชิงบันไดนาค ในขณะเดียวกันวัดต่างๆ ในพื้นที่จังหวัดยะลา ได้มีพุทธศาสนิกชนออกมาร่วมกิจกรรมสืบสานประเพณีตักบาตร เนื่องในวันออกพรรษาเป็นจำนวนมาก ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากได้เสร็จสิ้นพิธีตักบาตรแล้ว รอง ผอ.รมน.จังหวัด ย.ล.ยังได้ชักเรือพระร่วมกับประชาชนอีกด้วย 
           อย่างไรก็ตามเรือพระลำดังกล่าว ที่ทางวัดได้มีการประดับตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ภายหลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมในช่วงเช้าแล้ว จะนำไปเข้าร่วมประกวดในงานประเพณีชักพระ ที่เทศบาลบาลนครยะลา จัดขึ้น ณ บริเวณศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๔ ต.ค. ๖๕ ต่อไป ซึ่งในระหว่างการจัดกิจกรรม ได้มีหน่วยกำลังในพื้นที่ คอยดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนอย่างเข้มงวด














วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

นกเขาชวา นกสันติภาพชายแดนใต้

 


"ชายแดนใต้ความหลากหลายที่ล้ำค่า"  เป็นคำกล่าวที่แสดงให้เห็นถึง ความแตกต่างของผู้คนในพื้นที่   ที่มีทั้งคนไทยเชื้อสายมลายูนับถือศาสนาอิสลาม คนไทยเชื้อสายจีน และคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ จึงเป็นที่มาของความหลากหลายทางวัฒนธรรม  ที่ผ่านมาผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความเป็นอยู่ที่สงบเรียบง่าย พึ่งพาอาศัยกันฉันญาติมิตร  บนพื้นฐานแห่งความพอเพียงมาช้านาน ประกอบกับความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์  ชายแดนใต้จึงเป็นเสมือนอัญมณี ที่รอการเจียระไนให้แววแสง แต่นับจากสถานการณ์ความไม่สงบที่ก่อตัวและขยายความรุนแรง รวมทั้งผู้ก่อความไม่สงบ ฉวยใช้ความแตกต่างทางอัตลักษณ์ของคนมลายู ความเชื่อทางศาสนา และประวัติศาสตร์ในอดีต เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยก ซึ่งก่อให้เกิดความหวาดระแวงระหว่างผู้คนต่างศาสนิก ส่งผลให้ความสงบสุขที่เคยมีในอดีต กำลังจะลดเลือนหายไป

แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนจุดเชื่อมประสานคนของผู้คนในสังคมชายแดนใต้และเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต นั่นก็คือ “นกเขาชวาเสียง” เหตุที่ชื่อนกเขาชวา กล่าวกันว่าในสมัยหนึ่งชาวชวาให้ความสำคัญแก่นกเขาชนิดนี้มาก ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันดาลลาภยศ และโชคลาภ จึงพากันจับนกเขาชนิดนี้มาเลี้ยงกัน และนี่เองที่เป็นสาเหตุให้นกเขาเล็กชนิดนี้เรียกกันว่า “นกเขาชวา” ในอดีตจะนิยมเลี้ยง และเล่นกันในราชสำนัก ข้าราชบริพาร ขุนนาง คหบดี และประชาชนที่สูงอายุ มักจัดงานแข่งขันในงานนักขัตฤกษ์ และงานชมรมสมาคมเกี่ยวกับนกเขาชวา ไม่มีหลักฐานปรากฏยืนยันได้ว่าการจัดการแข่งขันนกเขาชวาเสียงเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อใด ซึ่งคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมเลี้ยงไว้ประดับบ้านเช่นกันถือเป็นมงคล  โดยเลือกนกเขาที่เข้าลักษณะตามตำรา และมีเสียงดีตามลักษณะนิยม  ซึ่งเมื่อมีการจัดการแข่งขันครั้งใด ก็จะเห็นคนเหล่านี้นำนกเข้าร่วมแข่งขันกันอย่างคับคั่ง และถือโอกาสพบปะพูดคุยกันในกลุ่ม “ชวาวงค์” อย่างสนิทสนม ไม่เฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น แต่ความรู้สึกเช่นนี้ ยังได้แพร่ขยายไปยังคนไทยในภูมิภาคอื่น และประเทศเพื่อนบ้าน เช่นมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน ทั้งนี้เป็นเพราะคนเหล่านี้ต่างมีความสนใจในสิ่งเดียวกัน   และเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ผู้เลี้ยงนกเขาว่า การแข่งขันนกเขาชวาเสียงที่ยิ่งใหญ่ เป็นที่สนใจของผู้นิยมเลี้ยงนกมากที่สุด คือ การแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร  ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี 

จากความริเริ่มของ เทศบาลเมืองยะลาที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงได้ร่วมกับจังหวัดยะลา ชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงจังหวัดยะลา และชมรมผู้เลี้ยงนกเขาชวาเสียงภาคใต้ โดยการสนับสนุนของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค ๔ ได้ร่วมกันพัฒนาสนามแข่งขัน และกติกาการแข่งขันให้มีมาตรฐานเพิ่มขึ้น ตลอดจนความคิดที่จะพัฒนาเสริมสร้างประโยชน์ให้กับท้องถิ่นในด้านเศรษฐกิจจึงได้กำหนดให้มีการแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงชนะเลิศในระดับอาเซียน ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2529 ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา โดยการใช้ชื่อในการจัดการแข่งขันว่า "งานแข่งขันนกเขาชวาเสียงชิงแชมป์กลุ่มประเทศอาเซียนครั้งที่ 1" สาเหตุที่ใช้คำว่า "อาเซียน" เพราะมีประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงเข้าร่วมแข่งขันด้วย คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และบรูไน ซึ่งประเทศดังกล่าวนี้มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมที่คล้ายคลึงกับประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ได้มีการแลกเปลี่ยน สนับสนุนเกื้อกูลกันในเรื่องต่าง ๆ มาตลอด ที่สำคัญคือ มีความชื่นชอบ และนิยมเลี้ยงนกเขาชวาเสียงเหมือนกัน จึงเกิดเป็นความสัมพันธ์ทางสังคม คือ สังคมนกเขาชวาเสียง หรือ “กลุ่มชวาวงค์” นั่นเอง


ในปัจจุบัน พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลาบางส่วน ได้มีการแข่งขันในกลุ่มเล็ก ๆ อยู่เป็นประจำ และ ในช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปีจะมีการจัดการแข่งขันใหญ่ในระดับประเทศและนานาชาติ ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ซึ่งการแข่งขันประชันเสียงนกเขาชวาแต่ละครั้ง จะมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้ที่เป็นเจ้าของนก ผู้ชมและผู้ที่สนใจจะเสาะหาพันธุ์นกไว้เป็นเจ้าของ   ก่อให้เกิดผลต่อเนื่องในเชิงเศรษฐกิจ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การค้า และการประกอบอาชีพที่ต่อเนื่องจากการเพาะเลี้ยงพัฒนาสายพันธุ์นก คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจเป็นจำนวนเงินไม่น้อย  หลักเกณฑ์การแข่งขันนกเขาชวาเสียงมีการแบ่งออกเป็น ๓ ประเภทเสียง คือ เสียงใหญ่ เสียงกลาง และเสียงเล็ก นกที่ขันมีปลายเสียงหรือกังวานถือได้ว่าเป็นนกที่ดี ซึ่งการพิจารณาจะต้องดูลีลาจังหวะการขัน เช่น ช้า เร็ว อีกด้วย  ซึ่งนกที่ได้รับรางวัล จะสร้างชื่อเสียงให้แก่ผู้เลี้ยงและพื้นที่ ซึ่งจะมีราคาซื้อขายกันเป็นตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้านบาท ผู้ที่มีนกเขาดีและชนะการประกวดในแต่ละครั้งราคานกก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ การแข่งขันในแต่ละครั้งใช่ว่าจะหวังเพียงเพื่อเงินรางวัล หากแต่ยังนำเงินรายได้ส่วนหนึ่งไปทำประโยชน์เพื่อสังคมอีกด้วย


และเหนือสิ่งอื่นใดการจัดกิจกรรมแต่ละครั้ง เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า  นกเขาชวาเสียง หาใช่เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงเชิงเศรษฐกิจของผู้ที่หลงใหลในน้ำเสียงอันไพเราะแต่เพียงอย่างเดียวไม่ หากแต่มันคือสื่อกลางในการนำพาผู้คนทุกเชื้อชาติ ชนชั้น มาพบปะ พูดคุย ถามทุกข์สุขฉันท์พี่น้อง พัฒนาความสัมพันธ์ อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่นำไปสู่ ที่หมายปลายทางของคำว่า “สันติสุข” ในสังคมชายแดนใต้ ผ่านนกตัวเล็กๆ ที่ดำรงอยู่คู่วิถีชีวิตของผู้คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาเนิ่นนาน  ให้ร่มเย็นสืบต่อไป นี่คือบทบาทที่สำคัญของ นกเขาชวาเสียง “นกสันติภาพชายแดนใต้”


ขอบคุณภาพสวยๆ จาก http://janineartexhibition.blogspot.com

“บูดู” จากวิถีชีวิต สู่ เศรษฐกิจชุมชน

 


วัฒนธรรมที่มีความสำคัญกับคนไทยไม่น้อยไปกว่าวัฒนธรรมการแต่งกาย และวัฒนธรรมด้านภาษา คือ วัฒนธรรมด้านอาหาร ซึ่งคนไทยมีวัฒนธรรมอาหารที่มีเครื่องปรุงเคียงคู่กับอาหารเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับประทานแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ซึ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะมี “น้ำบูดู” น้ำปรุงชั้นเลิศที่เป็นวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาชาวบ้านที่สืบทอดกันมาช้านาน หาก “ปลาร้า” คือเอกลักษณ์ของชาวอีสาน “บูดู” ก็ถือเป็นเอกลักษณ์ของคนชายแดนภาคใต้เฉกเช่นเดียวกัน

คำว่า “บูดู” สันนิษฐานว่าเป็นคำที่มาจากภาษาอินโดนีเซีย แปลว่า ปลาหมักดอง เนื่องมาจากในอดีตชาวอินโดนีเซียถูกศัตรูตีเมืองแตก (เมืองยาวอ) และได้แล่นเรือไปเรื่อยๆ ระหว่างทางได้จับปลาเล็กๆ หมักดองในไหเก็บไว้กินนานๆ หลังจากนั้น ได้มาขึ้นฝั่งที่ ตำบลปะเสยะวอ อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี จึงได้นำวิธีการหมักปลามาสู่หมู่บ้านแห่งนี้ และที่นี่ได้กลายเป็นแหล่งผลิตน้ำบูดูที่ขึ้นชื่อของจังหวัดปัตตานีและในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 


เขตอำเภอสายบุรี เกือบทั้งหมดติดกับทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวประมง ซึ่งเมื่อหาปลาได้จำนวนมาก ก็จะคัดเอาปลาตัวใหญ่ๆ ไปขายหรือประกอบอาหาร ส่วนตัวเล็กเช่นปลาไส้ตันหรือปลากะตัก จะนำไปหมักกับเกลือไว้ในไหหรือโอ่ง ประมาณ 1 ปี จึงจะได้น้ำบูดู ที่อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และโพรไบโอติก กลายเป็นอาหารคู่ครัวของชาวปะเสยะวอ 

บูดู ที่ดีมีคุณภาพจะใช้ปลากะตักเป็นวัตถุดิบหลัก โดยหมักกับเกลือทะเลนานประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ผลิตภัณฑ์บูดูจะแบ่งเป็นสองประเภท คือ บูดูเค็ม กับ บูดูหวาน ซึ่ง บูดูเค็มแบ่งออกเป็นสองชนิดได้แก่ บูดูข้นและบูดูใส บูดูข้น จะมีส่วนที่เป็นเนื้อปลาผสมอยู่จนสามารถสังเกตเห็นได้ชัด ส่วนบูดูใส มีลักษณะคล้ายน้ำปลา แต่จะมีสีเข้มกว่า มีหลายระดับ ทั้งน้ำบูดูแท้ คือ ส่วนที่เป็นของเหลวด้านบนของการหมัก เรียกว่า น้ำบูดูชั้น 1 ไม่ผสมอะไรเลย ซึ่งจะมีกลิ่นและรสที่ดีกว่ามีโปรตีนสูง น้ำบูดูชั้น 2 หรือบูดูปรุงรส ได้จากกากปลาหมักจากน้ำบูดูชั้น 1 ที่นำมาบดละเอียดและเติมน้ำเกลือกับเครื่องปรุงอื่นๆ แล้วนำไปกรองอีกครั้ง ส่วนน้ำบูดูหวานหรือบูดูข้าวยำ เป็นการแปรรูปบูดู โดยนำ มาต้มเคี่ยวกับ น้ำตาลปี๊บ ใบมะกรูด ข่า ตะไคร้หัวหอมแดง และกระเทียม ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นเป็น บูดูแห้งและชุดข้าวยำ ซึ่งประกอบด้วยน้ำบูดู ปลาคั่วและมะพร้าวคั่ว ล้วนเป็นวัตถุดิบสดใหม่ในท้องถิ่นทั้งสิ้น


นอกจากในพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี ที่มีผู้ผลิตบูดูชื่อดังมากมายหลายเจ้าแล้ว ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ มีการผลิตน้ำบูดูโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกระจายไปในทุกจังหวัด เช่น ที่บ้านบาเฆะ ตำบลโคกเคียน อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส หรือพื้นที่บ้านสะตงนอก อำเภอเมืองจังหวัดยะลา รวมทั้งอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ก็ยังมีผู้ประกอบการรายใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากมาย ต่างมีสูตรและรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดเด่นของตัวเอง ทั้งที่เหมือนและแตกต่างกันไป บางพื้นที่ทำเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนไว้กินไว้ขายในท้องถิ่น บางแห่งทำการผลิตตามมาตรฐานอุตสาหกรรมได้รับเครื่องหมาย อย.และฮาลาล มีหลากหลายรูปแบบทั้งแบบเป็นน้ำบรรจุขวด บรรจุถุง หรืออบแห้งบรรจุกล่องหรือเป็นกระปุก สามารถเลือกซื้อไปเป็นของฝากได้ นอกจากนี้ลูกหลานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องไปเรียนต่างที่ต่างถิ่นหรือแม้แต่ต่างประเทศ ก็สามารถนำติดตัวไปเป็นเสบียงไว้บริโภคเพราะสามารถเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน 

ปัจจุบันบูดูกลายเป็นส่วนผสมสำคัญของอาหารท้องถิ่นหลากหลายเมนู อาทิ บูดูข้าวยำ น้ำจิ้ม น้ำพริก หรือบูดูทรงเครื่อง มีผู้คนนิยมบริโภคมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญในการส่งเสริมให้เป็นอาชีพที่สร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมอบหมายศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดำเนินการสนับสนุนผ่านแผนงาน/โครงการตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โดยบูรณาการกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และขยายช่องทางการตลาด ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้อยู่ภายใต้การขับเคลื่อน และการให้คำแนะนำของ นายจำนัล เหมือนดำ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กลุ่มงานการพัฒนาคุณภาพชีวิตและศักยภาพของพื้นที่ 

น้ำบูดู ที่เริ่มจากวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ ผ่านมาจนถึงวันนี้ ได้รับการพัฒนาต่อยอดจนเป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้นส่งผลให้น้ำบูดูและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องถูกวางจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไป ตลอดจนห้างสรรพสินค้าต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายผ่านทางระบบออนไลน์ ในเวบไซต์ชื่อดัง ที่สามารถจัดส่งถึงมือผู้บริโภคได้ทุกที่ทั่วโลกอีกด้วย จากวัฒนธรรมอาหารของผู้คนชายแดนใต้ มาบัดนี้ บูดู กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างเศรษฐกิจชุมชนในการ สร้างงาน สร้างรายได้ และนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ตามเป้าหมายของรัฐบาลต่อไป



บทความแนะนำ

“เบตง”เมืองต้นแบบการท่องเที่ยวชายแดนใต้เปิดแผนการพัฒนา “สุไหงโก-ลก” ให้เป็นศูนย์กลางทางการค้าชายแดนใต้“หนองจิก” เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปนกเขาชวา นกสันติภาพชายแดนใต้


 
Design by Wordpress Theme | Bloggerized by Free Blogger Templates | coupon codes